ประวัติความเป็นมาของวัดบ่อเงิน
วัดบ่อเงินตั้งอยู่ริมคลองบางหลวงไหว้พระ แถบฝั่งเหนือ อยู่ในเขตท้องที่ ๑
ตำบลคูตัน ( เดิม )
ปัจจุบันเป็นตำบลบ่อเงิน อำเภอลาดหลุมแก้ว
จังหวัดปทุมธานี พื้นที่ดินที่สร้างวัดเดิมเป็นที่ดินของขุนวิเศษภักดี ซึ่งเป็นนายอำเภอเมืองปทุมธานี กับ นางพ่วง ภรรยา และ นายยม พร้อมบุตร ได้พร้อมใจกันมอบที่ดิน ๑ แปลง กว้าง ๒ เส้น ยาว ๒๕ เส้น ให้แก่
พระครูบวรธรรมกิจ (หลวงปู่เทียน) เจ้าอาวาสวัดโบสถ์ อำเภอเมืองปทุมธานี ให้ถือเป็นกรรมสิทธิ์ที่ดินแปลงนี้ พระครูบวรธรรมกิจได้มอบให้ นายหรั่งกับนายพุด เช่าทำนาโดยไม่ต้องเสียค่าเช่าเพียงแต่ให้หักร้างถางพงให้เตียนเพราะแต่ก่อนเป็นป่า แต่ นายหรั่งกับนายพุดก็ทำนาได้ ๒ ปีเท่านั้น
พระครูบวรธรรมกิจ (หลวงปู่เทียน) เจ้าอาวาสวัดโบสถ์ อำเภอเมืองปทุมธานี ให้ถือเป็นกรรมสิทธิ์ที่ดินแปลงนี้ พระครูบวรธรรมกิจได้มอบให้ นายหรั่งกับนายพุด เช่าทำนาโดยไม่ต้องเสียค่าเช่าเพียงแต่ให้หักร้างถางพงให้เตียนเพราะแต่ก่อนเป็นป่า แต่ นายหรั่งกับนายพุดก็ทำนาได้ ๒ ปีเท่านั้น
พระครูบวรธรรมกิจ ( หลวงปู่เทียน ปุพฺผธมฺโม )
เจ้าอาวาสวัดโบสถ์ อำเภอเมือง จังหวัดปทุมธานี
ผู้ริเริ่มสร้างวัดบ่อเงิน
ผู้ริเริ่มสร้างวัดบ่อเงิน
เมื่อ พ.ศ. ๒๔๕๔ นายเผือนได้นิมนต์ ท่านพระครูบวรธรรมกิจ
ไปทำพิธีตัดจุกที่บ้านตำบลคูตัน ( เดิม ) เมื่อเสร็จพิธีตัดจุกแล้วท่านพระครูธรรมกิจ
จึงปรารภขึ้นว่า หนทางไกลมากตั้ง ๕๐๐ เส้น เดินเมื่อยเหลือเกิน ถ้าจะตั้งสำนักสงฆ์ขึ้นไว้ในที่นาของฉันสักแห่งหนึ่งเห็นจะดี เพื่อจะได้พักพาอาศัยและเป็นการสะดวกแก่การทำบุญ
อื่นๆ ด้วยชาวบ้านได้ยินจึงสาธุเห็นชอบด้วย จึงพร้อมใจกันออกค่าวัสดุก่อสร้างคนละ
๒๐ บาท รวบรวมซื้อวัสดุก่อสร้างพอที่จะก่อสร้างได้แล้ว เมื่อขึ้นปี พ.ศ. ๒๔๔๕ พระครูบวรธรรมกิจ จึงไปขออนุญาตปลูกสร้างต่อ พระอริยธัชชะ เจ้าคณะจังหวัดปทุมธานี วัดเทียนถวาย
เมื่อได้รับอนุญาตให้ปลูกสร้างแล้ว
ก็เริ่มดำเนินการสร้างทันที
สิ่งที่ก่อสร้างในครั้งนั้น คือ
๑.
ศาลาการเปรียญ ๓
ห้อง พื้นปูกระดาน มีระเบียงรอบ ยาว ๖ วา ๒ ศอก กว้าง ๔ วา ๒
ศอก หลังคามุงด้วยกระเบื้องซีเมนต์
๒.
กุฏิ ๓ ห้อง
หลังคามุงจาก ฝาจาก พื้นปูกระดาน ๒ หลัง
๓.
ส้วม ๒ ห้อง
หลังคามุงกระเบื้อง
๔.
ขุดสระน้ำยาว ๑๐
วา กว้าง ๕ วา ลึก ๑๐ ศอก (
อยู่หน้าวัดด้านซ้ายมือ บัดนี้ถมเสียแล้ว )
ในศกนี้ ท่านพระครูบวรธรรมกิจได้นิมนต์พระภิกษุในวัดโบสถ์เข้าจำพรรษา
๕ รูป จนเมื่อพ.ศ. ๒๔๕๖ จึงได้สร้างกุฏิอีก ๒ หลัง หอสวดมนต์ ๑ หลัง ๓ ห้อง
มีระเบียงรอบ มุงสังกะสี และในปีเดียวกันนี้
พระครูบวรธรรมกิจได้จัดพระภิกษุในวัดโบสถ์อีก ๔ รูป พระที่ส่งมาชุดนี้คือ
พระภิกษุอ๊อด พระภิกษุละเอียด พระภิกษุแข (พระครูวิบูลย์ธัญญสาร เจ้าอาวาสวัดนางคัญ-จันตรี ) และพระภิกษุเบี้ยว จนอยู่ต่อมาความเจริญมากขึ้น
และได้มีผู้มีจิตศรัทธาท่านหนึ่ง มีความคิดเห็นว่า
ศาลาการเปรียญหลังที่สร้างไว้แต่เดิมเล็กมาก
ไม่พอเพียงกับประชาชน ท่านผู้นั้นจึงไปขออนุญาตต่อพระครูบวรธรรมกิจเพื่อที่จะทำการก่อสร้างขึ้นใหม่
ท่านพระครูบวรธรรมกิจก็ยินดีอนุญาตให้สร้างได้ ท่านผู้นั้นคือ นาย แดง ถือธรรม
ครั้นเมื่อปี พ.ศ. ๒๔๗๐ นายแดง ถือธรรม จึงจัดการสร้างศาลาการเปรียญหลังใหม่ ๔ ห้อง มีระเบียงรอบ หลังคามุงกระเบื้อง พร้อมทั้งยกช่อฟ้าเสร็จ ต่อมาเมื่อมีประชาชนมากขึ้น แต่การศึกษายังไม่มี ท่านพระครูบวรธรรมกิจจึงไปขออนุญาตทางราชการขอจัดตั้งโรงเรียนขึ้น ในปีนี้ท่านพระครูบวรธรรมกิจได้รายงานกราบเรียนท่านเจ้าคณะจังหวัดปทุมธานี ขอให้ แต่งตั้งพระภิกษุละเอียด โกณฑญฺโญ เป็นเจ้าอาวาสปกครองวัด เมื่อเจ้าคณะจังหวัดปทุมธานีและวัดเทียนถวายได้รับทราบจากการรายงานกราบเรียนของท่าน ที่ได้นำเนินการตั้งหลักพระพุทธศาสนาขึ้นที่ ตำลบคูตัน ก็ยินดีอนุโมทนา และแต่งตั้งให้พระภิกษุละเอียด โกณฑญฺโญ เป็นเจ้าอาวาสปกครองวัดบ่อเงินรูปแรกเป็นลำดับเรื่อยมา ในระหว่างนั้นท่านพระครูบวรธรรมกิจมีความประสงค์จะสร้างพระอุโบสถขึ้น เพื่อจะได้พระภิกษุสงฆ์ที่จำพรรษาสะดวกแก่การทำสังฆกรรมซึ่งเป็นกิจสงฆ์ ท่านจึงรายงานขอให้เจ้าหน้าที่ที่ดิน ทำการรังวัดแบ่งแยกโฉนดออกจากของท่าน เพื่อถวายให้เป็นที่ธรณีสงฆ์แยกออกเป็นเนื้อที่ยาว ๓ เส้น ๕วา พร้อมกันนี้ ก็ได้มี นางแก้ว ยกที่ดินให้อีกกว้าง ๑ เส้น ยาว ๓ เส้น รวมมอบถวายให้เป็นที่ธรณีสงฆ์ ท่านพระครูบวรธรรมกิจ ก็รายงานกราบบังคมทูลขอพระบรมราชาอนุญาตเป็นวิสุงคามสีมาต่อไปตามลำดับชั้น และได้รับพระราชทานเป็นวิสุงคามสีมาในปีเดียวกันนั้น
เมื่อวันที่ ๕ สิงหาคม พ.ศ. ๒๔๖๕ ครั้น ได้อภิลักขิตฤกษ์อันเหมาะสม ก็อาราธนาพระเดชพระคุณพระอริยธัช เจ้าคณะจังหวัดปทุมธานี และพร้อมด้วยพระยาปทุมธานีศรีมหนัทยเขต ข้าหลวงจังหวัดปทุมธานี มาปักเขตวิสุงคามสีมา เป็นเขตกว้าง ๒ เส้นยาว ๒ เส้น และท่านพระครูบวรธรรมกิจก็ประกาศแก่บรรดาสนิกชนที่อยู่ในบริเวณนั้น ให้ช่วยบริจาคทรัพย์ ได้เงินหนึ่งหมื่นบาทเศษ แล้วก็ดำเนินการขุดก่อรากอุโบสถทันที ตัวอุโบสถยาว ๘ วา ๒ ศอกกว้างวัดภายใน ๓ วา ๑๖ นิ้ว กว้างจากภายนอก ๔ วา วัดจากพื้นสูงถึงเพดาน ๓ วา ๑ ศอก ในปีนั้นสร้างได้เพียงขอบหน้าต่างเท่านั้น อุปกรณ์การก่อสร้างหมดจึงหยุดการก่อสร้าง และรวบรวมทุนได้ใหม่คราวนี้ทำถึงมุงหลังคา ขาดแต่เพียงช่อฟ้าใบระกาเท่านั้น อยู่ต่อมาพระอธิการละเอียด ซึ่งเป็นเจ้าอาวาสรูปแรกของ วัดบ่อเงิน ตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๔๕๗ จนถึงปี พ.ศ. ๒๔๗๐ ได้สมณศักดิ์ตำแหน่งเจ้าคณะหมวด (ปัจจุบันเรียกเจ้าคณะตำบล) และในปีเดียวกัน ( พ.ศ. ๒๔๗๐ ) นายแดง ถือธรรม ได้สร้างศาลาการเปรียญหลังใหม่ขึ้นในวัดบ่อเงินดังกล่าวมาแล้วในตอนต้น
ในปี พ.ศ. ๒๔๗๒
ทางการสงฆ์เห็นชอบจึงมอบตราตั้งและแต่งตั้งให้เจ้าอธิการละเอียดเป็นอุปัชฌาย์ อยู่ต่อมาเจ้าอธิการละเอียดอาพาธเป็นฝีที่ทรวงอกอาการสาหัส
ฝีกินทะลุข้างในไม่สามารถจะรักษาให้หายได้จนถึงแก่มรณภาพในปี พ.ศ. ๒๔๗๕
และทำการฌาปนกิจศพท่านเมื่อ พ.ศ. ๒๔๗๖ หลังจากเจ้าอธิการละเอียดมรณภาพแล้ว
ทางการได้มอบให้ พระภิกษุพูน เปรี้ยวอ่อน เป็นผู้รักษาการาแทนเจ้าอาวาส
พระภิกษุพูนรักษาการได้ ๒-๓ ปี ทางการคณะสงฆ์จึงได้แต่งตั้ง พระภิกษุละมูล ( เสภา ) วุฒิสาโร เป็นเจ้าอาวาส
ขณะนั้นพระภิกษุละมูลอุปสมบทได้เพียง ๒ พรรษาเท่านั้น และด้วยคุณงามความดีของท่าน
จึงได้รับการแต่งตั้งให้เป็น พระอธิการ
เมื่อวันที่ ๓ มิถุนายน ๒๔๘๗ และในขณะ เดียวกันท่านได้บอกบุญก่อสร้างซุ้มประตูหน้าต่างได้เงินค่าก่อสร้าง
๓ หมื่นเศษ
จนเมื่อ พ.ศ. ๒๔๙๐
ได้หาทุนผูกพัทธ์สีมาฝังลูกนิมิตพร้อมด้วยการฉลอง ต่อมาทางสงฆ์เห็นว่า
พระอธิการละมูลเป็นผู้หนึ่งที่ค้ำจุนพระพุทธศาสนา จึงได้แต่งตั้งให้เป็นเจ้าคณะตำบลเมื่อวันที่
๕ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๙๔ และได้รับการแต่งตั้งให้เป็นพระอุปัชฌาย์ เมื่อวันที่ ๑๗
ตุลาคม พ.ศ.๒๔๙๕ ครั้นปี พ.ศ. ๒๕๐๕
ทางราชการคณะสงฆ์ได้กราบบังคมทูลขอพระราชทานสมณศักดิ์ชั้นสัญญาบัตรพัดยศให้อธิการละมูลเป็น
พระครูวุฒิสารสุนทร เมื่อวันที่ ๕ ธันวาคม
พ.ศ. ๒๕๐๕
และ ได้รับการแต่งตั้งเป็นเจ้าคณะตำบลชั้นโท เมื่อวันที่ ๔
ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๑๖
วัดบ่อเงิน เดิมที่เดียวตั้งแต่สมัยพระครูบวรธรรมกิจ ซึ่งเป็นเจ้าอาวาสวัดโบสถ์ ( ตรงข้ามที่ทำการจังหวัดปทุมธานี ) เป็นผู้สร้างวัดนี้ ชาวบ้านจึงเรียกวัดนี้ว่า “วัดโบสถ์” ตามวัดที่ผู้สร้าง อยู่มาหลายปียังมีชนอีกบางพวกเรียกวัดนี้ว่า “วัดลาด” ที่เรียกเช่นนี้ เพราะว่าวัดนี้ตั้งอยู่ในที่ลาดและลุ่มมาก อยู่ต่อมาทางวัดจะบอกบุญหาทุนก่อสร้างหรือทำอะไรก็ตาม ก็หาได้ง่ายไม่ยากในสมัยนั้น เพราะชาวพุทธที่อุปการะมีมาก ประกอบกับพื้นที่แผ่นดินบริเวณนั้นมีมากมายหลายพันไร่ และเป็นที่ราบลุ่มทำนาข้าวได้ผลดี เมื่อข้าวดีทางวัดก็หาเงินได้มากผู้ที่พบเห็นจึงให้นามว่า “วัดบ่อเงิน”
วัดบ่อเงินนี้ไม่มีอะไรเป็นศิลปะโบราณ เพราะวัดนี้เป็นวัดจัดว่าใหม่สร้างยังไม่ถึงร้อยปี แต่สิ่งที่จัดว่าศักดิ์สิทธิ์และมีบุคคลเกรงกลัวอยู่บ้างก็คือ พระประธานในพระอุโบสถ ซึ่งนักยิงนกเกรงมากเพราะนักยิงนกหลายคนได้ใช้ปืนยิงนกที่เกาะหลังคาหรือยิงปืนข้ามหลังคาอุโบสถ ปรากฏว่ายิงปืนไม่ออก ปืนไม่เคยลั่นเลย
วัดบ่อเงิน นี้มีการกุศลประจำปี คือการจัดงานตักบาตรพระร้อยและปิดทองพระในวันเดียวกัน ตรงกับวันแรม ๖ ค่ำ เดือน ๑๑ ของทุกปี งานนี้มีมหรสพสมโภชจนตลอดงาน โดยไม่มีการเก็บค่าผ่านประตู ( วัดนี้ไม่เคยเก็บค่าผ่านประตูเมื่อมีงาน ) การตักบาตรพระร้อยจะรับบาตรในเรือคนตักบาตรอยู่ในเรือที่จอดริมตลิ่งในคลองหน้าวัด ประมาณเรือที่มาใส่บาตรไม่น้อยกว่า ๓๐๐ ลำ สำหรับเรือพระที่รับเรือหนึ่งลำมีพระรับบาตรที่นั่งมาตั้งแต่ ๑ รูป ถึง ๔ รูป เรือรับบาตรไม่น้อยกว่า ๑๐๐ ลำ พระไม่น้อยกว่า ๑๘๐ รูป พระที่รับบาตรนี้ก็ได้นิมนต์มาจากวัดต่าง ๆ งานตักบาตรพระร้อยสนุกมากเพราะมีคนมาก และคนมาจากถิ่นอื่นกันมากอีกด้วย ในงานมีปมด้อยอยู่อย่างหนึ่งคือน้ำมากเพราะตรงกับฤดูน้ำหลาก เกือบทุกปีน้ำจะท่วมลานวัด เพราะลานวัดต่ำและอยู่ในที่ลุ่ม งานนี้จัดขึ้นโดยไม่หวังรายได้ แต่จัดขึ้นเพื่อให้สนุกสนานเท่านั้น เฉพาะอย่างยิ่งเพื่อเป็นระเบียบประเพณีและวัฒนธรรมไม่มุ่งรายได้อันใด แต่ก็ยังมีเงินเหลืออีกมาก
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น